ยุคเรืองอำนาจของราชวงศ์เมรอแว็งเฌียง ค.ศ. 511-614 ของ ราชวงศ์เมรอแว็งเฌียง

ภาพพระเจ้าชิลเปอริกที่ 1 ฆ่ารัดคอพระนางกัลสวินทา จากมหาพงศาวการฝรั่งเศส ปี ค.ศ. 1375–1380

พระเจ้าโคลวิสมีพระโอรสหลายคน เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้เกิดสงครามแย่งชิงบัลลังก์ พระองค์ได้แบ่งราชอาณาจักรให้แก่พระโอรสทุกคน โดยยกปารีสให้ชิลเดอแบร์, ยกออร์เลอ็องให้โคลโดแมร์, ยกซวยซงให้โคลทาร์ และยกแม็สกับแร็งส์ให้เทอเดอริก กลุ่มอนารยชนเข้ายึดทือริงเงินในปี ค.ศ. 530 ต่อด้วยบูร์กอญในปี ค.ศ. 534, พรอว็องส์ในปี ค.ศ. 536, ไบเอิร์นและชวาเบินในปี ค.ศ. 555 พระเจ้าโคลทาร์ที่ 1 มีพระชนมายุยืนยาวกว่าพี่น้องทุกคน พระองค์จึงได้ครองครองราชอาณาจักรทั้งหมด กอลที่พระองค์ปกครองใหญ่กว่าราชอาณาจักรฝรั่งเศสในยุคต่อมา พระองค์สวรรคตในปี ค.ศ. 561 กอลถูกแบ่งอีกครั้งให้แก่พระโอรสสามคน คือ ซิเกอแบร์ ได้แร็งส์และแม็สที่รวมกันเป็นออสเตรเซีย (หรือพื้นที่ทางตะวันออก), กุนแทรม ได้บูร์กอญ และชิลเปอริก ได้ซวยซงที่เปลี่ยนชื่อเป็นเนิสเตรีย (หรือพื้นที่ทางตะวันตกเฉียงเหนือ)

พระเจ้าซิเกอแบร์ได้มอบของขวัญล้ำค่าให้พระเจ้าอทานากิลด์ กษัตริย์วิซิกอทแห่งสเปนเพื่อขอสมรสกับบรุนฮิลดา พระธิดาของพระองค์ พระเจ้าอทานากิลด์หวาดกลัวชาวแฟรงก์จึงยอมทำตามอย่างว่าง่าย บรุนฮิลดากลายเป็นพระราชินีแห่งออสเตรเซียในปี ค.ศ. 566 สร้างความอิจฉาแก่พระเจ้าชิลเปอริกที่มีพระมเหสีเป็นเพียงหญิงธรรมดาชื่อเอาโดเวรากับพระชายานอกสมรสเป็นหญิงชั้นต่ำชื่อเฟรอเดอกุนดา พระองค์จึงขอสมรสกับกัลสวินทา พระเชษฐภคนีของพระนางบรุนฮิลดา แต่หลังสมรสพระเจ้าชิลเปริกหวนกลับไปหาเฟรอเดอกุนดา พระนางกัลสวินทาจึงคิดจะกลับสเปน พระเจ้าชิลเปอริกฆ่ารัดคอพระนางในปี ค.ศ. 567 พระเจ้าซิเกอแบร์ประกาศศึกกับพระเจ้าชิลเปอริกและได้รับชัยชนะ แต่พระองค์ถูกทาสสองคนที่เฟรอเดอกุนดาส่งมาลอบสังหาร พระนางบรุนฮิลดาถูกจับกุมตัวแต่ทรงหนีออกมาได้และได้ทำพิธีสวมมงกุฎให้พระโอรสขึ้นเป็นพระเจ้าชิลเดอแบร์ที่ 2

ภาพการฆาตกรรมพระนางบรุนฮิลดา จาก De Casibus Virorum Illustrium โดยเมเตรอ ฟร็องซัว ปี ค.ศ. 1475

พระเจ้าชิลเปอริกเป็นคนโหดเหี้ยม ฆ่าคนได้ราวกับผักปลา ทรงหมกมุ่นในกาม ละโมบโลภมาก และกระหายในทองคำ ทรงคบค้ากับชาวยิว หมางเมินศาสนาคริสต์ ทรงขายดินแดนในปกครองของบิชอปชาวคริสต์ให้แก่ผู้ที่เสนอราคาสูงสุด พระองค์ถูกแทงจนสวรรคตในปี ค.ศ. 584 ผู้ลงมืออาจเป็นคนของพระนางบรุนฮิลดา พระโอรสของพระองค์ได้ขึ้นครองราชย์เป็นพระเจ้าโคลทาร์ที่ 2 แต่ด้วยยังเป็นทารก พระนางเฟรอเดอกุนดาจึงบริหารเนิสเตรียแทน พระนางมีทักษะฝีมือแต่คดโกงและโหดเหี้ยม ทรงส่งนักบวชหนุ่มไปสังหารพระนางบรุนฮิลดา แต่นักบวชหนุ่มทำไม่สำเร็จจึงถูกพระนางตัดมือตัดเท้า ในปี ค.ศ. 614 พระเจ้าโคลทาร์ที่ 2 สนับสนุนให้เหล่าขุนนางออสเตรเซียก่อปฏิวัติต่อพระนางบรุนฮิลดา พระนางถูกถอดจากตำแหน่งในวัย 80 พรรษาและถูกทรมานอยู่สามวันก่อนสวรรคต พระเจ้าโคลทาร์ที่ 2 ได้ครองทั้งสามอาณาจักร ทำให้ดินแดนแฟรงก์ถูกรวมเป็นหนึ่งเดียวอีกครั้ง

การลอบสังหาร, การทำปิตุฆาต, การเข่นฆ่าพี่น้อง, การทรมาน, การทำให้พิการ, การทรยศหักหลัง, การคบชู้ และการร่วมประเวณีกันในเครือญาติเกิดขึ้นซ้ำ ๆ ในราชวงศ์เมรอแว็งเฌียงจนทำให้ประชาชนเริ่มเสื่อมศรัทธา ไล่มาตั้งแต่พระเจ้าชิลเปอริกที่สั่งทรมานซิกิลาผู้เป็นชาวกอทอย่างโหดเหี้ยมทารุณ, พระเจ้าชาริแบร์ที่มีสนมเป็นสองพี่น้องซึ่งคนหนึ่งเป็นแม่ชี และพระเจ้าดาโกแบร์ซึ่งมีพระมเหสีพร้อมกันสามคนในเวลาเดียว แต่กษัตริย์เมรอแว็งเฌียงอาจมีกรรมพันธุ์เป็นหมัน ในบรรดาพระโอรสสี่คนของพระเจ้าโคลวิสมีพระเจ้าโคลทาร์เพียงคนเดียวที่มีลูก ในบรรดาพระโอรสสี่คนของพระเจ้าโคลทาร์ก็มีพระโอรสเพียงคนเดียวที่มีลูก กษัตริย์หลายคนสมรสตอนพระชนมายุ 15 พรรษาและสวรรคตก่อนพระชนมายุ 28 พรรษา ในปี ค.ศ. 614 ราชวงศ์เมรอแว็งเฌียงเริ่มเสื่อมอำนาจและถูกแทนที่